น้ำสมุนไพรบำรุงธาตุน้ำ


น้ำส้มและน้ำฝรั่ง จัดเป็นน้ำสมุนไพรที่บำรุงธาตุน้ำ ที่สุดแสนจะอร่อยถูกปากใครหลายๆคน

ส่วนผสม
ส้มเขียวหวาน 3 ผล (คั้นน้ำ 200 กรัม)
น้ำมะนาว 5 กรัม (1 ช้อนโต๊ะ)
เกลือไอโอดีน 1 กรัม (1/5 ช้อนโต๊ะ)
น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อนโต๊ะ)

วิธีทำ
1. ล้างผลส้มให้สะอาด ฝานตามขวาง 2 ซีก
2. คั้นเอาแต่น้ำ เติมน้ำมะนาว น้ำเชื่อม เกลือ ชิมรส ตามต้องการ

คุณค่าทางโภชนาการ
พลังงาน 197.37 กิโลแคลอรี

ใยอาหาร 3.20 กรัม
วิตามิน 865 มิลลิกรัม

รสและสรรพคุณ
รสเปรี้ยวของน้ำส้มทำให้ชุ่มคอ แก้ไอ ขับเสมหะ
--------------
น้ำฝรั่ง

ส่วนผสม
เนื้อฝรั่งสด (ฝรั่งสาลี่) 1 ผล (เนื้อฝรั่ง 300 กรัม)
น้ำตาลทราย 200 กรัม
เกลือไอโอดีน 8 กรัม
น้ำ 6 ถ้วย
วิธีทำ
1. ล้างฝรั่งให้สะอาด
2. ในเอาแต่เนื้อหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
3. ปั่นฝรั่งกับน้ำจนเนื้อฝรั่งละเอียด ตั้งไฟ ใส่น้ำตาล เกลือ พอเดือดยกลง ใส่น้ำแข็งบดก่อนเสิร์ฟ

คุณค่าทางโภชนาการ
พลังงาน 115 กิโลแคลอรี
วิตามิน 60 มิลลิกรัม
ใยอาหาร 2.9 มิลลิกรัม

รสและสรรพคุณ
รสฝาด อมเปรี้ยว มีฤทธิ์ฝาดสมาน ช่วยแก้อาการท้องเดิน

สูตรน้ำสมุนไพร จาก  http://ittm.dtam.moph.go.th/data_articles/t6.htm

น้ำสมุนไพรกับการแพทย์แผนไทย


อาหารและ น้ำดื่มเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตมนุษย์ อาหารและน้ำดื่มนอกจากจะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตแข็งแรงแล้ว ในส่วนประกอบของอาหารไทย ยังมีสมุนไพรที่เป็นเครื่องปรุงช่วยรักษาโรค และ อาการบางอย่างได้ ในหลักการการแพทย์แผนไทย ร่างกายของมนุษย์จะแข็งแรงได้ต้องมีภาวะที่สมดุลของธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ ด้วยเหตุผลที่ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อน มีการแปรเปลี่ยนของสภาวะอากาศหลายลักษณะ ซึ่งทำให้มีผลกระทบต่อความสมดุลย์ของธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย และส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วย ด้วยภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ที่อาศัยธรรมชาติที่มีอยู่รอบตัวมาใช้ประโยชน์ในการปรับสมดุลย์ของร่างกาย เช่น การบริโภคอาหาร หรือน้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร ซึ่งมีคุณลักษณะของธาตุทั้ง 4 ทำให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาพปกติได้
การดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำสมุนไพรตามหลักทฤษฎีการแพทย์แผนไทย สามารถกระทำได้โดยการดื่มตามเวลาใน 1 วัน ที่ธาตุในร่างกายของคนเราเปลี่ยนแปลงไป (กาลสมุฎฐาน) โดยมีการแบ่งเวลาดังนี้



เวลา 06.00 – 10.00 น. และเวลา 18.00 – 22.00 น.
ร่างกายมักจะเจ็บป่วยด้วยธาตุน้ำ น้ำสมุนไพรที่บำรุงร่างกายและปรับสมดุลของธาตุน้ำ น้ำสมุนไพรที่บำรุงร่างกายและปรับสมดุลของธาตุน้ำได้แก่ น้ำสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว เช่น น้ำส้ม น้ำมะนาว ฯลฯ

เวลา 10.00 – 14.00 น. และ 22.00 – 02.00 น.
ร่างกายมักจะเจ็บป่วยด้วยธาตุไฟ น้ำสมุนไพรที่ช่วยบำรุงร่างกายและปรับสมดุลของธาตุไฟได้แก่ น้ำสมุนไพรที่มีรสขม เช่น น้ำบัวบก น้ำลูกเดือย ฯลฯ

เวลา 14.00 – 18.00 น. และเวลา 02.00 – 06.00 น.
ร่างกายมักจะเจ็บป่วยด้วยธาตุลม น้ำสมุนไพรที่ช่วยบำรุงร่างกายและปรับสมดุลของธาตุลม ได้แก่ น้ำสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อน ได้แก่ น้ำขิง น้ำตะไคร้ ฯลฯ

ในกรณีการเจ็บป่วยด้วย ธาตุดินนั้นไม่ได้ขึ้นกับกาลเวลา แต่จะเกิดผลของการผิดปกติของธาตุอื่น ๆ ดังนั้นการดื่มน้ำสมุนไพรหรือน้ำผลไม้เพื่อบำรุงธาตุดินนั้นจึงสามารถกระทำ ในเวลาใดก็ได้

ไขมันเกาะตับคืออะไร

ไขมันเกาะตับ คือสภาวะที่เกิดการสะสมของไขมันภายในเซลล์ตับ เนื่องจากตับขับไขมันส่วนเกินออกไปได้ไม่หมด โดยส่วนใหญ่จะอยู่รูปไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ ทำให้เกิดการอักเสบของตับ การทำงานของตับลดลง ถ้าดื่มสุราและติดเชื้อไวรัสตับอักเสบด้วยอาจลุกลามกลายเป็นโรคตับแข็งหรือเป็นมะเร็งตับได้
ภาวะไขมันเกาะตับพบได้ประมาณ 10%-25 % อาจแตกต่างบ้างในแต่ละประเทศ พบได้บ่อยในคนที่มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ดัังต่อไปนี้ น้ำหนักเกิน, อ้วน ,เบาหวาน, ไขมันในเลือดสูง หรือความดันโลหิตสูง
สาเหตุของไขมันเกาะตับไม่เป็นที่ทราบแนแ่ชัด ผู้ป่วยในระยะเริ่มแรกมักไม่แสดงอาการ บางรายอาจมีอาการจุกเสียดแน่นบริเวณชายโครงขวาจนเกิดภาวะตับแข็ง, อาจมีอาการอ่อนเพลีย, ท้องโต เป็นต้น

หน้าที่ของตับจากสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 17
ตับมีหน้าที่สำคัญหลายประการ อันได้แก่การสร้างน้ำดี ซึ่งออกมาในลำไส้ ช่วยให้อาหารประเภทไขมันถูกย่อยและดูดซึมง่ายขึ้น เก็บสำรองอาหาร โดยเก็บเอากลูโคส (GLUCOSE)ไปสะสมไว้ในเซลล์ตับ ในสภาพของกลัยโคเจน (GLYCOGEN) และจะเปลี่ยน กลัยโคเจนกลับออกมาเป็นกลูโคสในกรณีที่ร่างกายต้องการใช้ได้ ทันที สะสมวิตามินเอ ดี และวิตามินบีสิบสอง นอกจากนี้ยังกำจัดสารพิษที่ลำไส้ดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด  เมื่อสารพิษผ่านตับ ตับก็จะทำลาย สารพิษบางชนิดตับทำลายไม่ได้ตรงกันข้ามจะไปทำลายเซลล์ตับ เช่น แอลกอฮอล์ (ALCOHOL) คาร์บอนเตตราคลอไรด์(CARBON TETRACHLORIDE) และคลอโรฟอร์ม (CHLOROFORM) เป็นต้น
ตับจะทำหน้าที่สร้างวิตามิน เอ จากสารแคโรตีน (สารสีส้มที่มีอยู่ในแครอต และมะละกอ)  ธาตุเหล็กและทองแดงจะถูกเก็บสะสมอยู่ที่ตับ เช่นเดียวกับวิตามิน  เอ ดี และบีสิบสอง สร้างองค์ประกอบในการแข็งตัวของเลือด อาทิเช่น  ไฟบริโนเจน (FIBRINOGEN) และโปรธรอมบิน(PROTHROMBIN) เป็นต้น  และยังสร้างสารป้องกันการแข็งตัวของเลือด  อันได้แก่  เฮปาริน(HEPARIN) ทำหน้าที่ในการกินและทำลายเชื้อโรคโดยมีเซลล์แมกโครฟาจ (MACROPHAGE) ที่อยู่ในตับ   ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่าคุฟเฟอร์เซลล์ (KUPFFER'S CELL) และ หน้าที่ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือเป็นแหล่งพลังงานสร้างความร้อนให้แก่ร่างกาย  

หน้าที่ของตับตามทรรศนะแพทย์แผนจีน (ข้อมูลจากแหล่งอ้างอิง)

- ตับเก็บเลือด และควบคุมปริมาณเลือด
- ตับทำหน้าที่ระบายและปรับการไหลเวียนและพลัง 
- ตับควบคุมอารมณ์และจิตใจ
- ตับขับเคลื่อนการไหลเวียนเลือด และพลัง และการลำเลียงน้ำในร่างกาย
- ตับเปิดทวารที่ตา 

หน้าที่ ของตับที่สำคัญเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคตับอักเสบ คือ ภาวะการอุดกั้นของตับ ทำให้การไหลเวียนเลือดและพลังติดขัด ทำให้มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์และจิตใจ รวมถึงการทำงานของระบบม้ามและกระเพาะอาหาร (ไม้ข่มดิน-ตับแกร่งข่มม้าม) หรือในทางกลับกัน การหงุดหงิด จิตใจหดหู่ เครียด โมโห จะมีผลต่อการทำงานของตับโดยตรง เกิดพลังและเลือดอุดกั้น (สารพิษในร่างกายมาก ตับทำหน้าที่ขับพิษได้น้อยลง ตับทำหน้าที่มากขึ้น) ระบบการย่อยอาหารที่สะสมความร้อนชื้นมากจะมีผลต่อความร้อนชื้นของระบบ ตับ-ถุงน้ำดีได้ การที่เกิดความร้อนชื้น หรือพลังอุดกั้นจากอารมณ์นานๆ จะทำให้เกิดก้อนหรือการอักเสบภายในตับได้ เพราะเกิดความร้อนและการไหลเวียนติดขัดเกิดเลือดคั่งค้าง

ดูแลสุขภาพอย่างไรเมื่อรู้ว่าเป็นไขมันเกาะตับ
อันดับแรกหากมีน้ำหนักเกิน แนะนำลดน้ำหนักเพื่อลดไขมันและการอักเสบในตับ ควรลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี ไม่ควรอดอาหารและลดน้ำหนักเร็วเกินไปอาจเป็นผลเสียต่อสุขภาพ โดยเฉลี่ยควรลดน้ำหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อเดือน ควรควบคุมน้ำหนักโดย
- ควบคุมอาหารประเภทแป้ง, น้ำตาล, ไขมัน, งดของหวานจัด, ผลไม้หวานจัด, ชีส, ของทอด เป็นต้น เน้นรับประทานผักผลไม้, ธัญพืช และ เนื้อปลา
- งดเครื่องดื่มประเภทที่มีแอลกอฮอล์
- ดื่มน้ำสะอาดประมาณวันละ 2 ลิตร
- สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่าเครียด และ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 
ป้องกันไขมันเกาะตับได้อย่างไร
- ดูแลสุขภาพ ให้น้ำหนักและไขมันในร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- พยายามอย่ารับประทานอาหารประเภท แป้ง น้ำตาล ไขมันมากเกินไป
- รับประทาน พืชผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีมากในผักใบเขียวจัด เช่น คะน้า, ตำลึง, ผักบุ้ง, ผักกาดหอม เป็นต้น และมีในผักผลไม้ที่มีสีเหลือง ส้มและแดง เช่น แครอท, บีทรูท, ฟักทอง, มะม่วง, มะละกอ, แคนตาลูป เป็นต้น 
- เห็ดหลินจือ เพื่อบำรุงและฟื้นฟูการทำงานของเซลล์ตับ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

แหล่งอ้างอิง
หน้าที่ของตับจากสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 17 
หน้าที่ของตับตามทรรศนะแพทย์แผนจีน  จาก http://www.doctor.or.th/node/1964

เทคนิคดูแลผิวง่ายๆ สำหรับคุณผู้ชาย

สุขภาพกาย สุขภาพผิว ใครว่าไม่สำคัญ หนุ่มๆไม่อยากหน้าแก่เกินไว หมั่นดูแลผิวหน้าให้ดูดีอ่อนเยาว์ น่าสัมผัส เพื่อสร้างความประทับใจเมื่อยามแรกพบ ไม่ใช่แค่เพียงการแต่งกายดี  การพูดจาดูดี  แต่ผิวหน้าดูดี สดใส ก็เป็นสิ่งสำคัญที่สาวๆหลายคนให้ความสนใจ สาวๆหลายคนแอบกรี๊ดในใจเวลาได้พบกับหนุ่มหน้าใส ในขณะที่หนุ่มๆส่วนใหญ่ต่างบอกว่าไม่มีเวลาดูแลผิว และเบื่อกับขั้นตอนที่ยุ่งยากในการดูแลผิว
มาดูขั้นตอนง่ายๆไม่ยุ่งยากในการดูแลผิวกัน

1.ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น เพราะน้ำอุ่นจะทําให้ผิวเสียความชุ่มชื่น แห้งและคันมากขึ้น เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิว ใช้สบู่อ่อนที่ไม่มีความเป็นกรดหรือด่างมากไป
- ถ้าผิวแห้งมากเลือกใช้สบู่ที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื่น ซับเบา ๆ ไม่เช็ดถูใบหน้าแรง ๆ เพราะจะทําให้หน้าลอก แล้วทาโลชั่นหรือครีมหลังล้างหน้าทันที
- ถ้าเป็นคนผิวแห้งแล้วใช้สบู่หรือครีมโฟมล้างหน้าธรรมดา ควรเปลี่ยนเป็นเจลใสไร้ด่าง ฟองน้อย เพื่อลดการทําลายสารธรรมชาติที่เคลือบผิว แล้วก็เพื่อป้องกันผิวแห้งและลอก 
- ถ้ามีผิวมันไม่ใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพราะจะกระตุ้นให้เกิดสิว

2.พอกหน้า ขัดหน้า โดยเฉพาะหนุ่มหน้ามันต้องดูแลผิวพิเศษระหว่างสัปดาห์  ด้วยโคลนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งจะช่วยให้ผิวหน้าดูดีขึ้น หรือด้วยการฝานแตงกวาเป็นแผ่นบาง ๆ แปะไว้ตามใบหน้า วิตามินซีที่อยู่ในแตงกวาจะทำให้รู้สึกผิวนุ่มทันทีหลังใช้ อีกทั้งการนำแตงกวามาบด แล้วใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำแล้วนำมาถูตัว จะรู้สึกหอมเย็นสบาย และช่วยให้ผิวสะอาด ไม่แห้งเป็นขุย

3.ปกป้องผิวด้วยครีมกันแดด ทุกครั้งที่ออกแดด  โดยเฉพาะหนุ่มๆที่ชอบออกกำลังกายกลางแจ้ง ไม่เช่นนั้นสิ่งทีดูแลมาตลอดจะสูญเสียไปในแดดเดียว

เกร็ดน่ารู้ วิธีผ่อนคลาย แบบง่ายๆ

การยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า จะทำให้ผิวหน้าดูสดใส : ให้เอาปลายนิ้วมือแตะที่ปลายนิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆ ค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้น จะส่งผลทำให้โลหิตบริเวณหนังศีรษะและใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลทำให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้นด้วย 


    ฝึกกลั้นหายใจ สามารถชะลอหน้าไม่ให้แก่ก่อนวัย : หายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึงหายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้งๆ ละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวไม่ไห้แก่ก่อนวัยและลดรอยหมองคล้ำ

    กินส้มช่วยแก้อาการเซ็ง : สาเหตุก็เพราะ การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเอง จะมีกลิ่นส้มที่ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายเครียดลงได้ดีออกมาด้วย
      กินช็อคโกแลต ช่วยลดอาการแก้ไอ : สาเหตุก็เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแลตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะออกฤทธิ์ที่เส้นประสาท ชื่อเวกัสเนอร์ที่ทำหน้าที่ที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล

      กินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลัง : สาเหตุ ก็เพราะ การที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลียก็เพราะ กรดในเลือดสูงร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดของคนเรา การกินบ๊วยจึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้

      กินเนยก่อนนอน ทำให้นอนหลับสนิทขึ้น :สาเหตุก็เพราะ ในเนยมีกรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตพันซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น
        ใครที่เหนื่อย หรือเครียดจากทำงาน ลองทำตามดู เพื่อ สุขภาพกาย สุขภาพใจ ที่ดี ครับ 

        Credit : Board Palungjit

        หัวเราะบำบัด

        ฝึกร่างกาย สั่งอวัยวะให้หัวเราะ

        การหัวเราะ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ การหัวเราะแบบธรรมชาติ เกิดจากถูกกระตุ้นให้มีอารมณ์ขัน ซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันและ การหัวเราะบำบัดเป็นการหัวเราะแบบรู้ตัว เพื่อใช้ประโยชน์จากการหัวเราะกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เราอารมณ์ดี มีความสุข จนมีนักวิชาการบางท่านนิยามสารชีวเคมีนี้ว่าเป็น "สารสุข"


        คน เราเมื่ออารมณ์ดี จะทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ ในรายงานการตีพิมพ์ของวารสาร The Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) ตีพิมพ์งานวิจัยจากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยโตรอนโต คานาดา บอกว่าอารมณ์ของคนเราน่าจะมีผลต่อการประมวลผลข้อมูลของสมอง ถ้าอารมณ์ดีจะช่วยขยายความคิดสร้างสรรค์ให้กว้างขึ้น ในทางกลับกันถ้าอยู่ในอารมณ์หวาดวิตก เคร่งเครียด หรือแม้แต่ความมุ่งมั่นมากเกินไป จะมีผลต่อความคิดจะหดแคบเข้ามา อารมณ์ดีหรือไม่ดีมีผลต่อกระบวนการคิดและแก้ปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ของคนเรา
        ดังนั้นพวกเราทั้งหลายจงมาร่วมกันผลิตสารแห่งความสุขผ่านกระบวนการหัวเราะ ซึ่งไม่ว่าท่านจะหัวเราะแบบบำบัด หรือหัวเราะแบบธรรมชาติ ก็เชื่อว่าร่างกายก็จะหลั่งสารชีวเคมนี้ได้ด้วยเช่นกัน

        การหัวเราะบำบัดมีหลายแบบ เช่น Lauther Yoga ของอินเดีย ซึ่งผสมผสานระหว่างการหัวเราะและควบคุมการหายใจของโยคะเข้าด้วยกัน และเป็นที่มาของการหัวเราะบำบัดในกว่า 40 ประเทศ หรือกลุ่มหัวเราะในประเทศออสเตรเลีย ที่เดินทางไปสถานที่ต่างๆ เพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้คนทั่วไปด้วยพฤติกรรมตลก สำหรับประเทศไทย ศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้คิดค้นการหัวเราะบำบัด โดยผสมผสานการควบคุมการหายใจ การเปล่งเสียงหัวเราะ และการบริหารร่างกายไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นการหัวเราะที่ให้ผลเชิงสุขภาพโดยไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์ขัน ใช้เวลาในทำกิจกรรมประมาณ 2-3 ชั่วโมง 

        ข้อดีของการหัวเราะ 
        การหัวเราะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายใน 7 ระบบได้แก่ ระบบทำงานของสมอง การ หัวเราะ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาทสมองส่วนพรีฟรอนทอลคอร์เทกซ์ (prefrontal cortex) บริเวณสมองส่วนหน้า (ซึ่งสมองบริเวณนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมความคิดที่เกี่ยวข้องกับ ปฏิกิริยาของอารมณ์เชิงบวกและลบ) ที่ทำให้เกิดการหลั่งของสารชีวเคมีตัวหนึ่งที่ชื่อว่า endorphin ซึ่งเป็นสารชีวเคมีของสมองที่มีฤทธิ์ "เพชฆาตความเจ็บปวด" หรือสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดความสุข นั้นก็คือในด้านที่ส่งผลทำให้อารมณ์ดี มีอารมณ์ขัน สมองก็จะมีการถูกกระตุ้นให้มีเพิ่มพื้นที่การประมวลผลความคิดในเชิงบวกและ สร้างสรรค์ มีผลทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับการบำบัดและฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
        ระบบหายใจ (Breathing) ในระหว่างที่หัวเราะร่างกายมีการหายใจเข้า กลั้นหายใจ และหัวเราะ (หายใจออกยาวๆ) ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนถ่ายออกซิเจน ฟอกเลือดดำให้เป็นเลือดแดง จึงทำให้เซลล์ประสาทหัวใจ ปอด คอ แข็งแรงขึ้น นอกจากนี้การหัวเราะยังช่วยบริหารร่างกายให้เกิดความร้อนและการเผาผลาญ พลังงานสูง ช่วยฆ่าเชื้อโรคและป้องกันโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ทั้งไข้หวัด ภูมิแพ้ หอบหืด ไซนัส กรน ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคปอด 
        ระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย (Digestion and Gastrointestinal) การหัวเราะบำบัดช่วยให้อวัยวะส่วนท้อง อาทิ ลำไส้ใหญ่ เล็ก ตับ ไต ไส้ กระเพาะ มีการเคลื่อนไหว เกิดการบริหารกระเพาะและลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายทำงานดีขึ้น ป้องกันโรคอ้วน โรคบูลิเมีย (Bulimia : โรคที่กินอาหารเข้าไปแล้วรู้สึกผิด จนบางครั้งต้องกินยาถ่าย หรืออาเจียนออก) หน้าท้องหย่อน ท้องป่อง โรคเบื่ออาหาร กินไม่ลง ท้องผูก ท้องเสีย โรคกระเพาะ โรคลำไส้ เป็นต้น

        ระบบไหลเวียนโลหิต
         (Circulation and Cardio-vascular system) การ หัวเราะบำบัดเป็นการออกกำลังทุกส่วนของร่างกายทำให้อวัยวะต่างๆ ได้เคลื่อนไหวเป็นจังหวะเร็วบ้าง ช้าบ้าง หัวใจสามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ มากขึ้น หัวใจทำงานเป็นระบบขึ้น ป้องกันอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เหนื่อยง่าย เหนื่อยเร็ว เจ็บแน่นหน้าอก โรคขาดเลือด เส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคหัวใจ ตลอดจนอาการใจสั่น เสียงสั่น ตัวสั่น ตื่นตระหนกและประหม่าง่าย

        ระบบพักผ่อนและผิวพรรณ (Rest and Skin system) การหัวเราะบำบัดช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้เส้นประสาท กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ยืดหยุ่น ไม่ตึงหรือเกร็ง ทำให้ร่างกายเกิดการพักผ่อน นอนหลับสนิท ผิวพรรณดี ไม่เหี่ยวย่น และไม่เป็นโรคทางผิวหนัง ช่วยให้ร่างกายและจิตใจเกิดความสงบ มีสมาธิมากขึ้น 

        ระบบเจริญพันธุ์
         (Reproduction) การ หัวเราะบำบัดทำให้ร่างกายทุกส่วนขยับขับเคลื่อน ส่งผลต่อการทำงานของสมองส่วนนอก ส่วนกลาง และส่วนใน ให้ทำงานดีขึ้น เป็นระบบขึ้น ทำให้สมองคิดแง่ดี มองโลกแง่บวก อารมณ์ดี พัฒนาอารมณ์รัก และการมีเพศสัมพันธ์ และช่วยป้องกันอาการไร้อารมณ์ หงอยเหงา โดดเดี่ยว ไม่อยากเข้าสังคม การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และการเข้าสังคม

        สัญชาติญาณการอยู่รอด (Survival instinct) การ หัวเราะบำบัดทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว แข็งแรง ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาท กระดูก กล้ามเนื้อ ร่างกายทำงานเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคไขข้อ โรคกระดูกต่างๆ ทั้งกระดูกพรุน ปวดหลัง ปวดเอว อ่อนเปลี้ยเพลียแรง โรคซึมเศร้า นอกจากนี้ยังช่วยทำลายสารอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งอีกด้วย

        แนวคิดของการหัวเราะบำบัด 

        อิง ตาม หลักของศาสตร์ตะวันออกที่มองทุกอย่างเป็นองค์รวม โดยเน้นฝึกด้วยท่าหัวเราะ หลายๆท่าต่อเนื่อง 2-3 ชั่วโมง เพราะในแต่ละท่าจะมีประโยชน์ต่างกัน โดยใช้เสียง โอ อา อู เอ นำมาประยุกต์ในกระบวนการหัวเราะบำบัด ซึ่งเป็นเสียงพื้นฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก

        เสียง โอ/ท้องหัวเราะ เป็นการออกเสียงจากท้อง โดยยืนตัวตรง กางขาเล็กน้อย กางแขนออกไปด้านข้างของลำตัว งอแขนเล็กน้อย กำมือทั้งสองข้างโดยชูนิ้วหัวแม่มือขึ้น ตามองตรง สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ กักลมไว้ จากนั้นค่อยๆเปล่งเสียง “โอ โอะ ๆ ๆ…” เหมือนเสียงซานตาคลอสหัวเราะ ขณะเดียวกันให้ค่อยๆปล่อยลมหายใจออก พร้อมๆกับขยับแขนขึ้นลง

        เสียง อา/ อกหัวเราะ เป็นการเปล่งเสียงออกจากอก ให้ยืนตรงกางขาเล็กน้อย กางแขนออกไปข้างลำตัวเหมือนนกกระพือปีก หงายมือขึ้น และปล่อยมือตามสบาย ตามองตรง สูดลมหายใจลึกๆ กักลมไว้ ค่อยๆเปล่งเสียง “อา อะ ๆ ๆ…” ดังๆเหมือนเสียงเจ้าพ่อหัวเราะ ขณะเดียวกันให้ปล่อยลมหายใจออก พร้อมๆกับกระพือแขนขึ้นลง
        ประโยชน์ของท่าอกหัวเราะ เมื่อเปล่งเสียงอา จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก หัวใจ ปอดและไหล่ขยับเขยื้อนไปด้วย ท่านี้จะช่วยให้อวัยวะบริเวณหน้าอกทั้งหมดทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้การสูบฉีดและการไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น

        เสียง อู/คอหัวเราะ เป็นการเปล่งเสียงออกจากลำคอ เริ่มด้วยยืนตรง กางขาเล็กน้อย แขนแนบลำตัว ยกตั้งฉากชี้ไปข้างหน้า งอนิ้วนางและนิ้วก้อยเข้าหาตัวเอง ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นและชี้นิ้วชี้และนิ้วกลางไปข้างหน้าในลักษณะชิดติดกัน เหมือนท่ายิงปืน ตามองตรง จากนั้นสูดลมหายใจลึกๆ กักลมไว้ แล้วค่อยๆเปล่งเสียง “อู อุ ๆ ๆ…” เหมือนเสียงหมาป่าหอน ขณะเดียวกันค่อยๆปล่อยลมหายใจออก พร้อมกับแทงมือไปข้างหน้า

        เสียง เอ/ใบหน้าหัวเราะ ท่านี้จะทำแบบสบายๆ โดยยืนตามสบาย ค่อยๆยกมือขึ้นมาตามถนัด สูดลมหายใจลึกๆ แล้วขยับทุกนิ้วทั้งหัวแม่มือ ชี้ กลาง นาง และก้อย ตามองตรง ระหว่างนั้นให้เปล่งเสียง “เอ เอะ ๆ ๆ…” ออกมา เหมือนหยอกล้อเด็ก นอกจากจะได้ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กที่นิ้วมือแล้วท่านี้ยังช่วยบริหารสมองด้วย

        ประโยชน์ ของท่าใบหน้าหัวเราะ คนสมัยนี้ชอบคิดมาก บึ้งตึง จึงทำให้เครียด ปวดศีรษะ ปวดสมอง เมื่อเปล่งเสียงเอ ใบหน้าจะมีลักษณะเหมือนกำลังฉีกยิ้มโดยอัตโนมัติ เหมือนเรากำลังเล่นจ๊ะเอ๋กับเด็กตัวเล็กๆ เสียงเอจะทำให้เรายิ้มง่ายขึ้น

        ฝึกหัวเราะบำบัดด้วยตนเอง 

        การฝึกหัวเราะบำบัดด้วยตนเองไม่ใช่เรื่องยาก ขั้นแรก ฝึกหัวเราะโดยมีสิ่งกระตุ้น เช่น ดูภาพยนตร์ตลก และหัวเราะเสียงดัง จากนั้นฝึกหัวเราะโดยไม่มีสิ่งกระตุ้น โดยแยกอารมณ์ขันออกจากการหัวเราะ หรือเข้าใจว่าการหัวเราะไม่จำเป็นต้องมาจาก "ความรู้สึกตลก" เสมอไป การหัวเราะโดยไม่มีเหตุผลนี้ให้เริ่มจากหัวเราะคิกคักและหัวเราะเสียงดัง ด้วยการเปล่งเสียงออกมาจากท้องผ่านลำคอและริมฝีปาก 

        หากต้องการให้การหัวเราะได้ผลดียิ่งขึ้น ควรเปล่งเสียงหัวเราะ เพื่อเคลื่อนไหวอวัยวะภายใน 4 ส่วนด้วยการเปล่งเสียงต่างๆ กัน คือเสียง "โอ" ทำให้ภายในท้องขยับ เสียง "อา" ทำให้อกขยับขยาย เสียง "อู" เสียง "เอ" ทำให้ลำคอเปิดโล่ง และช่วยบริหารใบหน้า

        ขั้นตอนเริ่มจากหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักครู่ เปล่งเสียงเป็นจังหวะเช่น โอ โอ โอ โอ ยาวๆ จนกว่าจะหมดอากาศที่เก็บไว้ สูดหายใจเข้าใหม่ หัวเราะเสียงละ 3 ครั้ง เมื่อออกเสียงเป็นจังหวะแล้วให้บริหารร่างกายไปด้วย เริ่มจากเสียง "โอ" ให้ย่ำเท้าอยู่กับที่ เสียง "อา" ให้ยกแขนขึ้นสูงๆ แล้วโบกไปมา เสียง "อู" ให้ส่ายเอวท่าฮูลาฮูบ เสียง "เอ" ให้หมุนหัวไหล่ โดยทำท่าเหล่านี้ในระหว่างที่หัวเราะด้วย

        นอกจากนี้ยังมีท่าหัวเราะบำบัดอีก ดังนี้ 

        จมูก หัวเราะ ย่นจมูกขึ้นและทำเสียง “ฮึๆ…” ในจมูกเหมือนม้า ท่านี้จะช่วยไล่สิ่งสกปรกในจมูกออกมา บำบัดภูมิแพ้ ไซนัส หวัด โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องระบบหายใจ ท่านี้จะช่วยให้จมูกโล่ง

        ตา หัวเราะ กะพริบตาถี่ๆ กรอกตาขึ้นลงเป็นวงกลม แล้วเปล่งเสียง “อ่อย ๆ ๆ…” เล่นหูเล่นตา มองซ้ายที ขวาที เพื่อการบริหารดวงตาให้ผ่อนคลาย ใครที่มีปัญหาตาแห้งหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ท่านี้จะทำให้มีน้ำหล่อเลี้ยงที่ตา ช่วยให้ตาชุ่มชื้นขึ้น

        สมอง หัวเราะ โดยธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเครียดมักจะปิดปาก เป็นเหตุให้ความดันขึ้นสมอง ท่านี้จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว โดยปิดปากแล้วเปล่งเสียง “อึ ๆ ๆ…” ดันให้เกิดการสั่นสะเทือน ขึ้นไปนวดสมอง เมื่อทำเสร็จจะรู้สึกโล่ง โปร่งสบาย

        ไหล่ หัวเราะ เป็นการบริหารช่วงไหล่ ยืนตรงแล้วส่ายไหล่ไปมา เหมือนการว่ายน้ำฟรีสไตล์ พร้อมกับเปล่งเสียง “เอ เอะ ๆ ๆ…” ใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับไหล่ ท่านี้ช่วยได้

        เอว หรือก้น หัวเราะ ช่วยบริหารบริเวณไขสันหลัง ก้นและสะโพก โดยช่วงกลางลำตัวต้องนิ่งอยู่กับที่ ขณะทำให้แขม่วท้องขมิบก้น พร้อมเปล่งเสียง “อู อุ ๆ ๆ…”

        หาก วันนี้คุณยังหาวิธีออกกำลังที่เหมาะกับตัวเองไม่ได้ลองชวนคนในครอบครัวมา หัวเราะพร้อมเคลื่อนไหวร่างกายด้วยกันสิคะ นอกจากได้ออกกำลังแล้ว ยังสร้างรอยยิ้มในครอบครัวคุณอีกด้วย

        *******************************************

        ที่มา : หนังสือชีวจิต ฉบับ 1 ต.ค. 2549

        ยาสมานจิต

        เทคนิคการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

        ข้อมูลจาก thaifitway
        สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน ผู้เขียนได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องความเครียดลงในใกล้หมอ มา 2-3 ฉบับติดต่อกันแล้ว แต่ผู้เขียนยังไม่ได้เขียนเกี่ยวกับเทคนิคในการลดความเครียดเลย ลองมาดูกันดีกว่าครับว่ามีเทคนิคง่ายๆ อะไรกันบ้างที่สามารถช่วยลดและผ่อนคลายความเครียดได้ 

        เทคนิคการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เวลาคนเราเครียดมากๆ กล้ามเนื้อจะมีการหดตัว สังเกตเห็นได้จากการที่มีอาการอากัปกิริยาต่างๆ ในขณะที่มีความเครียดเช่น หน้านิ่วคิ้วขมวด กำหมัด หรือกัดฟัน เป็นต้น 
        การ ที่กล้ามเนื้อมีอาการหดเกร็งตัว ร่างกายมักจะรู้สึกปวด เช่น ปวดต้นคอ ปวดหลัง หรือปวดไหล่ เป็นต้น การฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จะช่วยให้อาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลดลง นอกจากนั้นในขณะฝึกจิตใจ จะจดจ่อกับการคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ทำให้ลดการคิดฟุ้งซ่านและวิตกกังวล จิตใจจะมีสมาธิมากขึ้นกว่าเดิมด้วย 
        ในขณะฝึกให้นั่งในท่าที่ สบาย ใสเสื้อผ้าหลวมๆ ถอดรองเท้า หลับตา ทำใจให้ว่าง ตั้งสมาธิอยู่ที่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ที่ต้องการผ่อนคลาย 
        ลองมาดูกันบ้างเพื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายลองฝึกเกร็งและคลายกล้ามเนื้อ ดังนี้นะครับ 

        1. กำมือและเกร็งแขนแล้วผ่อนคลายกล้ามเนื้อ โดยค่อยๆ คลายมือและกล้ามเนื้อแขนสลับทีละข้างทั้งซ้ายและขวา 
        2. เกร็งและผ่อนคลายกล้ามเนื้อหน้าผาก โดยเลิกคิ้วแล้วคลายหรือขมวดคิ้วและคลาย 
        3. เกร็งและผ่อนคลาย ตา แก้ม จมูกโดยหลับตาแน่น ย่นจมูกแล้วคลาย 
        4. เกร็งและผ่อนคลาย ขากรรไกร ลิ้น ริมฝีปาก โดยกัดฟันใช้ลิ้นดันเพดานปากแล้วคลาย หรือเม้นปากแน่นแล้วคลาย 
        5. เกร็งและผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณคอ โดยก้มหน้าให้คางจดคอแล้วคลาย เงยหน้าจนสุดแล้วคลาย 
        6. เกร็งและผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก ไหล่ และหลังโดยหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้แล้วคลายหรือยกไหล่สูงแล้วคลาย 
        7. เกร็งและผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องและก้น โดยแขม่วท้องแล้วคลาย หรือขมิบก้นแล้วคลาย 
        8. เกร็งและผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณเท้าและขาขวา โดยเหยียดขา งอนิ้ว แล้วคลาย หรือเหยียดขากระดกปลายเท้าแล้วคลาย 
        9. เกร็งและผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณเท้าและขาซ้าย โดยเหยียดขา งอนิ้ว แล้วคลาย หรือเหยียดขากระดกปลายเท้าแล้วคลาย 

        ขณะ ที่มีการเกร็งกล้ามเนื้อให้ใช้เวลาน้อยกว่าระยะเวลาที่ผ่อนคลาย เช่นเกร็ง 3-5 วินาที แล้วผ่อนคลาย 10-15 วินาที เป็นต้น นอกจากนั้นควรฝึกท่าละประมาณ 8-12 ครั้ง เมื่อทำไปนานๆ จนมีความรู้สึกคุ้นเคยกับการผ่อนคลายแล้ว ให้ฝึกคลายกล้ามเนื้อได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องเกร็งก่อน  


        ข้อมูลจาก เทคนิคในการลดความเครียด

        โรคอัลไซเมอร์ (ALZHEIMER'S DISEASE)

          โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's Disease)เป็นโรคสมองเสื่อมที่เกิดจากเซลส์สมองตาย ทำให้สมองไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว ,การควบคุมอารมณ์ตัวเอง, ความทรงจำจนถึงขั้นไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ เช่น พูดไม่ได้ ,แปรงฟันไม่ได้ เป็นต้น ในระยะท้ายของโรคจะสูญเสียความจำทั้งหมด   ในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 2-4 % ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ยิ่งอายุมากขึ้นก็จะพบผู้ป่วยด้วยโรคนี้มากขึ้น กล่าวคือจะพบเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุก 5 ปี หลังอายุ 60 ปี แต่สำหรับผู้ที่มีอายุ 90 ปีขึ้นไปแล้วยังไม่ป่วยเป็นโรคนี้ อัตราการเกิดโรคจะลดลงถึง 50% 

        อาการของโรค
        โรคนี้แบ่งเป็น 4 ระยะ โดยในแต่ระยะจะมีอาการแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิดการตายของเซลล์สมอง  รู้ได้อย่างไรว่ากำลังจะเป็น "อัลไซเมอร์" 

        1. หลงๆลืมๆ เช่น ลืมสิ่งของ ลืมนัด จำเหตุการณ์ หรือคำพูดที่เพิ่งผ่านมาไม่ได้ 
        2. สับสนเรื่องเวลา สถานที่ กลับบ้านไม่ถูก (ข้อนี้ พวกหนีเมียไปเที่ยวนอกบ้านไม่เกี่ยว 555)
        3. จำบุคคลที่เคยรู้จัก เพื่อน หรือสมาชิกภายในครอบครัวไม่ได้ คิดว่าเป็นคนแปลกหน้า (รู้ไม๊ว่าผมเป็นลูกใคร 555)
        4. มีปัญหาเรื่องการพูด ลืม หรือเรียกสิ่งของไม่ถูก พูดคำ หรือประโยคซ้ำๆ 
        5. ไม่สนใจในสิ่งที่เคยสนใจ เช่น กิจกรรมประจำวัน งานอดิเรก 
        6. มีปัญหาเรื่องการนับ หรือถอนเงิน การใช้โทรศัพท์ 
        7. มีพฤติกรรม ก้าวร้าว , ซึมเศร้า, หูแว่ว, หวาดระแวง 
        8. ไม่สนใจดูแลความสะอาดของตัวเอง เช่น แปรงฟันไม่เป็น, อาบน้ำไม่เป็น,การขับถ่ายไม่เป็นที่ เป็นต้น


        การดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยง
        เมื่อรู้แล้วว่าโรคนี้มีสาเหตุมาจากการที่เซลล์สมองตาย เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากเป็นโรคนี้เราจะต้องทำตัวอย่างไร มาดูกัน
        1.รับประทานอาหารที่บำรุงสมองเป็นประจำ เพื่อบำรุงและชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์สมอง ได้แก่อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ , กรดไขมันโอเมก้า-3,วิตามิน บี6 บี12 เช่น ผัก,ผลไม้ ,ธัญพืช ,ปลา , วิตามิน E, ใบแป๊ะก๊วย, น้ำมันปลา เป็นต้น งานวิจัยของมหาวิทยาลัยคิงส์ คอลเลจ ลอนดอน ระบุว่า
        มีผักและผลไม้ 5 ชนิด มีสารประกอบที่ทำหน้าที่เหมือนกับยาที่ใช้รักษาโรคอัลไซเมอร์ ได้คือ บร็อกโคลี มันฝรั่ง ส้ม แอปเปิ้ล และหัวไชเท้า โดยเฉพาะบร็อกโคลี มีสารดังกล่าวเยอะที่สุด

        2.หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง ของทอด อาหารเค็มจัด หวานจัด และอาหารหมักดอง อาหารพวกนี้นอกจากทำให้ผูที่ทานอารหารเหล่านี้เป็นประจำ ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด, ไขมันในเลือดสูง,เบาหวาน ตามสถิติยังพบว่า ผู้ป่วยเหล่านี้มีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นด้วย

        3.บริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ หมั่นออกกำลังกายทำให้เลือดไหวเวียนดี ได้รับออกซิเจนเป็นผลดีต่อระบบประสาทรวมถึงการบริหารสมองด้วย เช่น การเล่นเกมอักษรไข้ว, เกมต่อภาพ,เกมทดสอบความจำ หรือการเรียน เต้นรำ, ดนตรี ,ภาษาใหม่ๆ เป็นต้น

        4.จัดการกับความเครียด เพราะความเครียดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการทำลายของเซลล์สมอง จึงควรเรียนรู้ในการจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้น ด้วยการผ่อนคลาย และพักผ่อนให้เต็มที่ เช่น การนั่งสมาธิ , การนอนหลับ